การศึกษาพิเศษของคนพิการ
เล่าเมื่อวันที่ 14 ส.ค. 64
โดยกิตติมา สุริยกานต์
ผู้ปกครองมักจะสอบถามว่าหากลูกมีความผิดปกติบนใบหน้าแล้วจะสามารถเรียนหนังสือได้หรือไม่ และเรียนได้ที่ไหน
ก่อนอื่นอยากสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ปกครองก่อนในเรื่องรูปแบบของการศึกษาพิเศษสําหรับเด็กพิการว่าคืออะไร มีรูปแบบใดบ้าง หลังจากที่เด็กเริ่มเข้าสู่วัยเรียนและแพทย์ได้ประเมินแล้วว่าสามารถเข้าโรงเรียนได้
การศึกษาพิเศษ หมายถึง การจัดการศึกษาสําหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการหรือทุพพลภาพ หรือไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแล หรือผู้ด้วยโอกาส
การศึกษาพิเศษเน้นการเพิ่มทักษะพื้นฐานด้านสังคม การสื่อสาร และทักษะทางความคิด เนื้อหาหลักสูตรเน้นการเตรียมความพร้อมเพื่อให้เด็กสามารถใช้ชีวิตประจําวัน ควบคู่ ไปกับทักษะทางวิชาการ การศึกษาพิเศษ มีการจัดการศึกษาและบริการเพื่อสนับสนุนให้กับบุคคลที่มีความต้องการทางการศึกษาเป็นพิเศษ 3 กลุ่ม คือ
- กลุ่มเด็กที่มีความสามารถพิเศษ
- กลุ่มเด็กพิการที่มีความบกพร่องในการเรียนรู้
- กลุ่มด้อยโอกาสและต้องได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษ
กลุ่มที่มักจะกล่าวถึงในเรื่องการศึกษาพิเศษ คือ สองกลุ่มหลัง ซึ่งมักจะพบเจอในระบบโรงเรียนและควรได้รับความช่วยเหลืออย่างถูกต้องเพื่อให้เด็กพัฒนาได้อย่างเหมาะสม
รูปแบบการจัดการศึกษาพิเศษในประเทศไทย
มี 3 รูปแบบ คือ
- การเรียนร่วม - เด็กที่มีความต้องการพิเศษเรียนร่วมกับเด็กปกติ มีทั้งแบบเต็มเวลา คือ เรียนร่วมกันทั้งวัน และเรียนร่วมเฉพาะบางวิชา
- การจัดตั้งโรงเรียนและศูนย์การเรียนเฉพาะเพื่อการศึกษาพิเศษ - เป็นรูปแบบที่จัดขึ้นสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษในแต่ละลักษณะโดยเฉพาะ เช่น โรงเรียนสอนคนหูหนวก โรงเรียนสอนคนตาบอด หรือจัดตั้งเป็นชั้นเรียนเฉพาะในโรงเรียนปกติ เช่น ชั้นเรียนเด็กพิเศษ
- การหมุนเวียนครูการศึกษาพิเศษ - เป็นรูปแบบสําหรับพื้นที่ที่ขาดแคลนครูการศึกษาพิเศษหรือมีจํานวนเด็กที่มีความต้องการพิเศษไม่มากนัก โดยครูการศึกษาพิเศษจะหมุนเวียนไปตามโรงเรียนหรือศูนย์การเรียนรู้สําหรับเรียนร่วม
พบว่ายังมีความเข้าใจไม่ถูกต้องนักในหมู่ผู้ปกครองของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ มักมองว่าเด็กไม่สามารถเรียนรู้ได้และไม่เหมาะจะมาโรงเรียน กลัวโดนล้อ โดนครูตําหนิ จึงไม่กล้าส่งลูกมาเรียน แท้ที่จริงการเรียนร่วมมีข้อดีมากมาย ดังต่อไปนี้
- การเรียนร่วมเป็นการสร้างทัศนคติเชิงบวกให้กับผู้ปกครองที่มีต่อเด็ก เชื่อมันในศักยภาพของเด็กว่า พัฒนาได้ มองข้ามความบกพร่องในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยมีโอกาสได้แสดงตนมากขึ้น
- การเรียนร่วมช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เพราะไม่ต้องจ้างครูพิเศษมาดูแล
- การเรียนร่วมช่วยส่งเสริมศักยภาพของเด็กที่มีความพิเศษ ทําให้พวกเขาค้นหาศักยภาพที่มีในตัวเองได้ดีขึ้น ซึ่งศักยภาพนั้นอาจนํามาสู่ประโยชน์ของโรงเรียน ชุมชน ตลอดจนประเทศชาติได้ในภายหลัง เมื่อเด็กทำกิจกรรมร่วมกับเด็กคนอื่น ๆ จะทำให้เกิดการเรียนรู้ และหากเด็กเกิดความสนใจกิจกรรมใดเป็นพิเศษ คุณครูก็สามารถช่วยส่งเสริมความสนใจนั้นและฝึกฝนพัฒนาต่อยอดไปได้เรื่อย ๆ
- การเรียนร่วมทําให้เด็กในชั้นเรียนเรียนรู้ความแตกต่างระหว่างบุคคล รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีเมตตา กรุณา มีนํ้าใจ และพร้อมจะให้การช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่า
- การเรียนร่วมช่วยให้ไม่เกิดการแบ่งแยกบุคคลเพราะความแตกต่าง ความบกพร่อง หรือความพิการ และทําให้เด็ก ๆ เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างเหมาะสม
- การเรียนร่วมช่วยจําลองการใช้ชีวิตระหว่างคนปกติและคนที่มีความต้องการพิเศษ ส่งเสริมเรื่องทักษะชีวิต การเข้าสังคม กฏระเบียบต่าง ๆ ของโรงเรียน ทําให้ทั้ง 2 กลุ่มสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข
- การเรียนร่วมช่วยสร้างความเข้าใจอันดีเกี่ยวกับเรื่องราวของเด็กที่มีความต้องการพิเศษให้กับบุคคลทั่วไป และแสดงให้เห็นว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษนั้นสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างเป็นปกติ
ทั้งนี้ผู้ปกครองสามารถขอคําปรึกษาแนะนําได้ที่โรงเรียนใกล้บ้านและศูนย์การศึกษาพิเศษประจําจังหวัด เพื่อหาที่เรียนที่เหมาะสมกับบุตรต่อไป แม้จะมีบุตรเป็นเด็กพิเศษแต่ปัจจุบันมีทางเลือกในการการศึกษามากยิ่งขึ้น
ที่มา : www.happyhomeclinic.com และ www.Trueplookpanya.com